![]() |
ภาพจาก Facebook ภาควิชาสถาปัตฯ |
การบรรยายครั้งนี้จัดโดย ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่คณะสถาปัตย์นี่เอง มีขนม น้ำดื่มพร้อม ห้องบรรยายก็หะหรูหะหรามากโอ้ววว
งานครั้งนี้บรรยายโดย คุณชาตรี ลดาลลิตสกุล (เห็นเรียกกันว่าคุณโหน่ง) ผู้ก่อตั้ง ต้นศิลป์ สตูดิโอ ผลงานของสตูดิโอนี้ที่โดดเด่นคือ อาคารหลายๆหลังที่มหาวิทยาลัยมหิดล: อาคารภูมิพลสังคีต เรือนศิลปิน อาคารโซนต้นศิลป์ อาคารศิริราชปิยมหาราชการุณ และล่าสุด คือ บ้านต้นศิลป์ หรือบ้านของคุณโหน่งเอง ที่ได้รับรางวัลดีเด่นจากสถาปนิกสยามด้วย
คุณโหน่งเกริ่นก่อนว่า งานนี้ที่พูดต่อจาก งานอาสา Talkative ปรัชญา สุนทรียะ ความลับ วิถีทาง ต้นศิลป์สตูดิโอ(ภาพประกอบ) ที่พูดไม่จบ
พร้อมทั้งมีความกังวลใจ เพราะคนฟังเป็นทั้งนิสิต และสถาปนิก กลัวเนื้อหาจะหนักไปสำหรับนิสิต
เริ่มบรรยาย
ผมก็เป็นเพียงคนคนหนึ่งเท่านั้น ที่ทำงาน ไม่ได้มีวิชาการองค์ความรู้อะไร
วันนี้จะมาบรรยายถึงอะไรบ้าง ที่มีอิทธิพลต่องานของผม ให้เป็น case study
SPIRITUAL
เหรียญมีสองด้าน และ อีกด้านของเหรียญที่ขาดไปในสถาปัตยกรรมปัจจุบันของเราไปมาก คือ เรื่อง "จิต" โดยเฉพาะเราชาวตะวันออก ที่งานปัจจุบันล้วนมีแต่แบบ กระแสความคิด(idea)
ลองให้เรามองงานของญี่ปุ่นดู เราเหมือนจะรู้สึกว่ามันมี "จิต" อยู่ในนั้น แล้วเราจะยืนอยู่อย่างไรในโลกของการออกแบบ?
GLOBAL vs LOCAL
เมื่อ 10 ปีก่อนเนี่ย เราใช้เรื่องนี้อบรมฯกัน ให้ตระหนักถึงเรื่องนี้
โลกไร้พรมแดนในวันนี้และวันพรุ่งนี้ ทำให้เราต้องปรับโลกทัศน์ให้ทันกับโลก
ในขณะที่เราก็ยังเป็นเรา แต่ว่าน่าเสียดายที่การศึกษาของเรา เราเป็นผู้ตามและถูกชี้นำจากชาติผู้นำเสมอ
คุณโหน่งยังเพิ่มเติมประเด็นความต่างของ ตะวันตก และ ตะวันออกด้วยว่า ตะวันตกมักจะเน้นก้าวไปข้างหน้าทางวัตถุ พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ในทางกลับกันตะวันออกก็จะมุ่งไปหาทางหลุดพ้น
อีกมุมมองคือ ตะวันตกจะมองแต่ละอย่างด้วยการแยกเป็นส่วนๆออกจากัน แต่ตะวันออกจะมองทุกอย่างเป็นองค์รวม คือ ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน
คิดแบบองค์รวม หนึ่งคำตอบ ตอบร้อยคำถาม
มีหลายๆตัวอย่างภูมิปัญญาตะวันออกที่ไปโลดแล่นบนเวทีโลก และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง
เช่น ปรัชญา ZEN Less is more ที่สตีฟจอบส์ใช้ทำ iPhone
คนไทยชอบคำตอบแบบองค์รวม
อย่างไปหาหมอฝรั่ง ก็จะให้ยาตามโรค เจ็บคอเอายาแก้เจ็บคอไป ปวดหัวเอายาแก้ปวดหัว
ไปหาหมอจีนจะบอกว่า ร่างกายท่านเสียสมดุล ต้องปรับร่างกายให้สมดุล
ไม่ได้บอกว่าใครฉลาดกว่าใคร แค่จะบอกว่าเราดูถูกควาฉลาดของเรา
ด้านของจิตใจเราชนะขาด แต่เราไม่เคยเอาจิตใจนั้นมาใช้ งานสถาปัตยฯของเราก็เลยเป็นแค่กระแสความคิด

ชาติตะวันตกจะมองการเดินข้ามผาด้วยเชือกเส้นเดียวก็คือ เดินข้าม
แต่ตะวันออกจะมองว่านั่นคือการทดสอบจิตใจ
ชาติตะวันตกก็วาดนกให้ดูเหมือนจริง แต่ชาติตะวันออกจะวาดนกให้เป็นนก
คนตะวันตกเขียนนกแล้วเหมือนนก แต่คนตะวันออกเขียนนกแล้วเป็นนก
มาดูสถาปัตยกรรมไทย
Zaha Hadid นักศึกษาสถาปัตฯก็ก๊อปกันใหญ่
งานตะวันตกก็จะออกมาแนว complicated ต้องยากๆ
งานยากๆส่วนนึงก็รับแรงบันดาลใจมาจากสนามโอลิมปิกรังนก ว่าโอ้ มันสร้างได้ยังไงกัน
ข้อดีของชาวตะวันตกคือเดินหน้าไม่รอใคร
"อดีตที่งดงามและไม่กลับมาอีกแล้ว"
แล้วเราเสียมันไปตอนไหน?

เรากำลังวิวัตน์ไปสู่ความเป็นเขา
คุณโหน่งกล่าวถึงคำหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ "ความเป็นอื่นในตัวเรา" ใช้เรียกความรู้สึกที่ว่า เมื่อไหร่เราจะก้าวออกจากความเป็นไทย(ที่มันแย่ๆ)เสียที
เราก็อยากจะเป็นเหมือนเขา อยากจะดีเหมือนเขา
(หรืออยากจะรวย จะโง่แบบเขากันนะ)
ถอยไปข้างหน้า
เราอาจจะต้องไปข้างหน้าด้วยการถอย อันนี้ผมเอามาจาก Starbuck
สำหรับผม ความงดงามคือคำตอบ
งดงามอย่าง สุนทรียะ เสียดายว่าคนไทยยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อย งดงามอย่างสุนทรียะคุณโหน่งยกตัวอย่าง Wabi Sabi จากประเทศญี่ปุ่น ว่าคล้ายกับหลัก หลักไตรลักษณ์ ของพุทธเนี่ยแหละ แต่ต่างว่าไทยเราเรามองไตรลักษณ์ในลักษณะที่เป็นข้อเท็จจริง เป็นความเป็นจริงของชีวิต แต่ญี่ปุ่นนี่เอาหลักนี้ครอบตัวศิลปะไปเลย
งานศิลป์ญี่ปุ่น
ธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา
ข้ามเส้นความไม่ธรรมดา ด้วยความธรรมดา
ผมเคยคิดว่าโลกธรรมมะก็อยู่ส่วนธรรมะ แยกออกจากโลกของศิลปะ แต่ตอนนี้ผมเลิกแล้วตั้งแต่หลังจากศึกษาศิลปะญี่ปุ่นเนี่ย
คุณโหน่งกล่าวถึงข้อจำกัดทางภาษาไทย ที่ใช้อธิบายสิ่งต่างๆได้จำกัด ไม่เอื้อต่อการอธิบาย
ความลับจริงๆอยู่ในภาษา อย่างคำว่า Ma ในภาษาญี่ปุ่น
แปลว่า ประตู ก็ได้ แสงอาทิตย์ก็ได้
ส่วนไทย ประตู ก็คือ ประตู บรรยายตามนิยามและการใช้สอย
อีกคำคือ En พื้นที่สีเทา เป็นพื้นที่ที่เปิดรับให้ธรรมชาติเข้ามามีอิทธิพลต่อตัวเราข้างใน และในขณะเดียวกันก็ป้องกันแสงแดดและสายลมไม่ได้มามีอิทธิพลของเรา
ญี่ปุ่นนี่มีตั้งหลาย space มิติของนิยามต่างๆ แค่นิยามเราก็สู้บ่ได้แล้ว
หรือคำจากอังกฤษว่า Place ถ้าแปลเป็นไทยว่า พื้นที่ sense ของคำว่า place จะหายไปเลย
ต่อไปคุณโหน่งพูดถึง Place แห่งความสงบว่าออกแบบไม่ได้
เพราะความสงบเป็นข้อเท็จจริง
สิ่งที่ควรออกแบบคือความงามของความสงบ
เราจะออกแบบความสงบอันส่องสว่าง
เราจะออกแบบความสงบอันมืดมิด
ถ้าคิดอย่างนี้เราเล่นได้เป็นล้านอย่าง
เงาที่ทอดลง เสียงใบไม้ไหวและลมพัด เสียงนกร้อง เป็นส่วนหนึ่งของความสงบหรือไม่
ความงามของความสงบนี้แหละ ที่น่าทำ
ถ้ามองออกเราก็จะค้นพบไม้เด็ดแห่งโลกตะวันออกที่จะเอาไปฟาดฟันกับโลกตะวันตก
เราจะเห็นว่าคนญี่ปุ่นยังมีบ้านทรงญี่ปุ่น ใส่ชุดกิโมโนไปงานต่างๆอยู่ อาจจะเป็นเพราะเขากำหนดทิศทางกว้างๆมาให้ปรับเปลี่ยนขยับขยายได้
ส่วนบ้านไทย ไม่มีอะไรจะสืบสาน เพราะด้วยอธิบายตามนิยาม และการใช้งาน
อย่างบ้านยกพื้นใต้ถุนเลี้ยงเลี้ยงควาย และไวหนีน้ำท่วม แต่ปัจจุบันก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้นแล้ว มันก็เลยค่อยๆหายไป
ครูบาอาจารย์ของญี่ปุ่นจะบัญญัติกำหนดแนวทางของสุนทรียะมา ทำให้อยู่รอดได้ง่ายกว่าของไทยบัญญัติตามนิยาม

ก่อนผมออกก็มีเรื่องน่าสนใจอีกอย่างคือ JYO KYO และ IYU ที่ว่าถึงอันดับของคุณค่าว่าให้ความน่าสนใจนั้น อยู่อันดับสูงกว่าความถูกต้อง ผมฟังแล้วก็ยังงงๆ แต่ไม่น่าจะหมายความว่าให้ไปยิงคนตายเพื่อจะได้สร้างความสนใจ ตามหลักความน่าสนใจอยู่เหนือความถูกต้อง
ความหมายลึกๆผมยังไม่เข้าใจนัก ถ้าจะให้เดาก็คือความงาม/คุณค่าไม่จำเป็นต้องสมจริงเสมอไป ก็ได้มั้ง ผมเดาว่าอย่างนี้
ตอนนี้เริ่มจำอะไรไม่ได้แล้วเพราะเตรียมตัวเก็บของกลับบ้าน

เงยหน้ามาอีกทีเจอตารางเปรียบเทียบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก(ฝั่งซ้าย) และฝั่งตะวันออก(ฝั่งขวา) ข้อความที่ถูกใจผมมากคือ ความเย็นมลืดชืดของตะวันตก และ อบอุ่นของตะวันออกนี่แล

พอถึงเวลาก็ต้องกลับแล้ว สหายไกด์ที่บอกว่าจะกลับพร้อมกัน เจอความน่าสนใจเหนือความถูกต้องทีนี่เปลี่ยนใจไม่กลับเลย ทั้งๆที่ตอนแรกบอกว่าต้องกลับไปทำงานเหมือนกัน ฮ่าๆ แต่กระผมงานรัดตัวแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ มีเสียดายนิดๆไม่ได้ฟังต่อจนจบ
งานดีๆอย่างนี้เอาไปเลย ๕ ดาวครับ ฮี่ๆ เห็นดูจะเงียบๆแต่ก็มีคนมาลงทะเบียนฟังในรายชื่อกว่า 200 คน แถมตอนผมเดินออกมาก็มีคนนั่งฟังบนพื้นด้วยนะครับ!
สิ่งดีๆมีให้ฟังฟรี ก็คงไม่ได้ฟังเลยด้วยซ้ำถ้าสหายไกด์ไม่ได้ชวนไป ขอขอบคุณอีกที
ขอจบบันทึกเพียงเท่านี้